A brief history of Katoey and Gender diversity in Thailand




A brief history of Katoey and Gender diversity in Thailand

      
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันการยอมรับในความหลากหลายต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องเพศนั้นจะกลายมาเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคม แต่ความเป็นอื่นของความหลากหลายทางเพศนั้นก็ยังคงมีอยู่ในความรู้สึกของสังคมจากทัศนคติที่ยืนพื้นบนแนวคิดระบบสองเพศ หลายคนยังคิดว่าความหลากหลายทางเพศนั้นเพิ่งจะมีปรากฏในปัจจุบันเมื่อไม่นานมานี้ แต่ความจริงแล้ว ความหลากหลายทางเพศในสังคมไทยนั้นมีปรากฏมานานมากแล้ว ซึ่งย้อนรอยกลับไปได้ถึงตำนานการสร้างโลกของล้านนาเลยทีเดียว

       ในตำนานการสร้างโลกและมนุษย์ของชนชาวไทย เชื่อว่าปู่สังคะสาและย่าสังคะสีได้สร้างกายเนื้อของมนุษย์ขึ้นมา และมีวิญญาณเข้ามาสิงในร่างเหล่านั้น สิ่งที่น่าสนใจคือ มนุษย์ดังกล่าวนั้นมีสามเพศ คือ ชาย หญิง และไม่มีเพศ ตรงนี้มีข้อสังเกตว่า ในตำนานดังกล่าวใช้คำว่า นปุงสกะ ซึ่งแปลว่า ไม่มีเพศหรือไม่ใช่ทั้งชายและหญิง กอปรกับบริบทในตำนานคือ ปู่สังคะสาและย่าสังคะสีเป็นคนที่สร้างเพียงกายเนื้อเท่านั้น นปุงสกะในที่นี้จึงอาจไม่ได้สื่อถึงกะเทยหรือเพศอื่นๆ ในทางวิถีชีวิต แต่หมายถึงบุคคลที่มีอวัยวะเพศกำกวมหรือ intersex นั่นเอง แต่นั่นก็ทำให้เห็นได้ว่า ในพื้นที่แนวคิดเรื่องเพศนั้น เพศอื่นๆนอกจากชายและหญิงเองก็ถูกรับรู้ถึงการมีอยู่มานานแล้ว ซึ่งตำนานดังกล่าวนั้นเป็นที่แพร่หลายในหลายพื้นที่ของไทย และสืบทอดต่อกันมาในระบบท่องจำ ซึ่งภายหลังก็ได้มีการเรียบเรียงใหม่โดยผสมกับแนวคิดทางพุทธศาสนาในชื่อ ปฐมมูลมูลี

       แนวคิดในเรื่องเพศของพุทธศาสนาเองนั้นก็สำคัญอย่างปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากหลักคำสอนนั้นเป็นรากฐานสำคัญในสังคมของไทย โดยในด้านคำสอนที่เกี่ยวกับเรื่องเพศนั้น ได้มีการนิยามถึงความหลากหลายทางเพศได้ค่อนข้างละเอียด ผ่านการสร้างคำต่างๆ ขึ้นมา โดยคำว่าบัณเฑาะห์นั้น เป็นคำที่มีความหมายกว้างๆสื่อถึงเพศกำกวม, ไม่มีเพศ หรือเพศอื่นๆ และมีการนิยามคำขึ้นมาจำแนกอีกที โดยมีทั้งการนิยามตามเพศสรีระและเพศทางสังคม เช่น ปุริสสังวาสิกะ - ชายรักชาย, อปากติกากัปปะ - ชายที่มีใจเป็นหญิง หรือกะเทยที่รู้จักกันในปัจจุบัน, ตติยาปกติ – เพศอื่นๆ นอกเหนือจากหญิงและชาย, อุภโตพยัญชนก : คนที่มีอวัยวะสองเพศ หรือ intersex เป็นต้น ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าในแนวคิดของพุทธศาสนาจะรับรู้และกล่าวถึงการมีตัวตนของความหลากหลายทางเพศ แต่ก็ไม่ได้มีความคิดที่ดีเท่าไรนัก เพราะยังคงมีการมองความตรงเพศกำเนิดเป็นสิ่งที่สูงกว่า ซึ่งจะสังเกตได้จากทั้งคำสอนในเรื่องบาปบุญ ที่จัดให้การเกิดในภพชาติที่เป็นหญิงและเพศหลากหลายเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ หรือเรื่องการอาบัติของสงฆ์ ที่การมีความกำหนัดต่อกลุ่มคนเพศหลากหลายนั้นมีระดับความอาบัติน้อยกว่าการมีความกำหนัดต่อเพศหญิง สื่อถึงการมองกลุ่มคนเพศหลากหลายว่าต่ำชั้นกว่ากลุ่มคนตรงเพศ

       แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องเพศในพุทธศาสนาข้างต้นนี้ ได้มีผลอย่างมากต่อแนวคิดเรื่องเพศในสังคมไทย โดยเฉพาะในสมัยอยุธยานั้น ได้มีการแบ่งการนิยามเพศทั้งทางสรีระและทางสังคม ตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดคือ การปรากฏขึ้นของคำว่ากะเทยครั้งแรกในสังคมไทยในกฎหมายตราสามดวง ที่ยังมีการกล่าวถึงกะเทยและบัณเฑาะห์พร้อมกัน ซึ่งคำว่ากระเทย (ยังคงสะกดด้วย ร เรืออยู่ในขณะนั้น) นั้นจะสื่อถึงคนที่มีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด คือ ชายที่มีใจเป็นหญิง ส่วนคำว่าบัณเฑาะห์นั้นจะสื่อถึงคนที่มีเพศทางกายภาพกำกวม ซึ่งแน่นอนว่าทัศนคติต่อกลุ่มเพศหลากหลายนั้นก็ยังคงเป็นไปในเชิงลบ อย่างในกฎหมายตราสามดวงนี้เองก็ยังคงมองว่า กลุ่มเพศหลากหลายนี้เป็นคนกลับกลอก โลเล ไม่มีความแน่นอน ดังที่ประกฎในพระอัยการลักษณะพยานว่าทั้งกะเทยและบัณเฑาะห์นั้นเป็นหนึ่งในคน 33 ประเภทที่ไม่อนุญาตให้เป็นพยาน

       ทั้งนี้ สังคมไทยในยุคโบราณตลอดมาจนถึงช่วงก่อนศตวรรษที่ 20 นั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในสังคมที่มีความเป็นมิตรกับความหลากหลายทางเพศที่สุดสังคมหนึ่งของโลกในขณะนั้น หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เป็นสังคมที่มีความอดทนและนิ่งเฉยต่อความหลากหลายทางเพศได้ เนื่องจากถึงแม้ว่าจะมองความหลากหลายนั้นว่ามีสถานะหรือลำดับทางสังคมที่ต่ำกว่าความตรงเพศ แต่ก็ไม่ได้มีการต่อต้านที่รุนแรงหรือการลงโทษอย่างเช่นสังคมตะวันตก รวมถึงยังมีการจัดที่ทางเอาไว้ให้สำหรับความหลากหลายทางเพศโดยเฉพาะ อย่างการละคร งานประณีต หรือกระทั่งพื้นที่ทางความเชื่อในบางพื้นที่อย่างการเป็นร่างทรง ตลอดมาจนเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์ ที่ในช่วงตอนต้นนั้น ก็มีการปรากฏถึงความหลากหลายทางเพศอยู่เรื่อยๆและเป็นที่รับรู้ทั่วไป โดยในหมู่ชาววังตอนนั้นจะมีคำว่า ‘เล่นสวาท’ สำหรับความสัมพันธ์แบบชายรักชาย และ ‘เล่นเพื่อน’ สำหรับความสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิง ส่วนคนที่มีความหลากหลายทางเพศหรือกะเทยนั้น ก็ยังคงแสดงออกได้อย่างเปิดเผย

       ความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับทัศนคติของสังคมไทยที่มีต่อกะเทยและความหลากหลายทางเพศนั้นเกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จากอิทธิพลของตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทในสังคมไทยมากขึ้นผ่านคนในรั้ววังที่มีอำนาจ แนวคิดเรื่องบทบาททางเพศแบบวิคตอเรียก็เป็นหนึ่งในอิทธิพลที่เข้ามามีบทบาทในสังคมไทยเช่นกัน โดยแนวคิดดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงหน้าที่ของมนุษย์ที่จะต้องสืบต่อทายาท จึงนำมาซึ่งการกำหนดบทบาททางเพศอย่างเข้มงวด มีการกำหนดความเป็นชายและความเป็นหญิงที่ชัดเจนเพื่อสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ขึ้น แนวคิดตะวันตกเหล่านี้ได้เข้ามามีอิทธิพลในสังคมไทยผ่านทางชนชั้นปกครองที่ได้ไปศึกษาร่ำเรียนจากประเทศตะวันตก รวมถึงความพยายามที่จะดำเนินกิจการต่างๆของประเทศให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับตะวันตก โดยมีการปฏิรูปทั้งในด้านสังคมและการเมืองการปกครอง เช่น การออกกฎหมายคำนำหน้านาม การสร้างระบบทะเบียนราษฎร์ รวมถึงการกำหนดบทลงโทษสำหรับความสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกันเป็นครั้งแรกในประเทศไทย อีกทั้งยังมีการอ้างถึงแนวคิดเรื่องบทบาททางเพศเพื่อผลประโยชน์และความขัดแย้งทางการเมืองในหมู่ชนชั้นสูงอีกด้วย

       เป็นที่น่าสนใจว่า แม้การปฏิรูปประเทศในช่วงนี้จะทำให้ความเป็นอื่นของกะเทยและความหลากหลายทางเพศที่มีอยู่ในสังคมอยู่แล้วเพิ่มมากขึ้น แต่การกีดกันที่รุนแรงจนถึงขั้นมีการลงโทษนั้นกลับมุ่งเน้นไปที่การรักเพศเดียวกันมากกว่าสภาวะทางเพศของบุคคล จุดนี้ผู้เขียนสันนิฐานว่าอาจจะเป็นด้วยสังคมไทยที่ยังคงมีอิทธิพลจากแนวคิดเรื่องบาปบุญฝังแน่นอยู่ จึงทำให้สภาวะทางเพศอย่างเช่นกะเทยที่ถูกมองว่าเป็นผลจากบาปในอดีตชาตินั้นได้รับการยกเว้นในฐานะที่เป็นการชดใช้กรรมอยู่ ผิดกับการรักเพศเดียวกันที่เหตุผลของแนวคิดแบบวิคตอเรียนั้นดูจะมีเหตุผลรองรับ และเป็นแนวคิดที่ทันสมัยในตอนนั้น จึงทำให้ถูกมองว่าเป็นความอันตรายมากกว่า

       ความพยายามกีดกันกะเทยและความหลากหลายทางเพศต่างๆ ยังคงมีมาเรื่อยๆ ตลอดมาจนถึงช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ความรู้ทางการแพทย์เริ่มมีการพัฒนามากขึ้น ควบคู่ไปกับข่าวที่นำเสนอกะเทยและกลุ่มคนเพศหลายหลายมากขึ้น ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นข่าวในทางเสียหายก็ตาม ในช่วงก่อน 1950s นั้น เริ่มมีความพยายามที่จะใช้องค์ความรู้ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์เข้ามาอธิบายสภาวะทางเพศที่หลากหลาย โดยงานที่สร้างผลกระทบมากที่สุดคือ งานเขียนของสุด แสงวิเชียร ที่ได้สร้างคำว่า ‘ลักเพศ’ ขึ้นมา และอธิบายถึงสภาวะความเป็นกะเทยว่าเป็นอาการป่วยทางจิต เนื่องจากการศึกษาของสุดที่ได้สรุปว่า กะเทย เป็นสภาวะทางกายภาพ ส่วนผู้ที่มีพฤติกรรมแสดงออกเป็นเพศตรงข้ามนั้นเป็นอาการทางจิต และควรใช้คำว่าลักเพศแทน ซึ่งบแนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อสังคมอย่างมาก ทั้งการเป็นรากฐานการศึกษาความหลากหลายทางเพศ และการสร้างแนวคิดอื่นๆตามมา จนกระทั่งในช่วงปี 1950s ที่ไทยได้รับความรู้ทางด้านการแพทย์จากอเมริกา และเริ่มมีการศึกษาลึกลงไปถึงกลุ่มรักเพศเดียวกัน กอปรกับอิทธิพลทางสังคมจากสื่อ จึงได้เกิดการจำแนกรักเพศเดียวกันออกจากกะเทย และมีการจำกัดความ เช่น เกย์ เลสเบี้ยน เกิดขึ้น ทั้งนี้ การสร้างองค์ความรู้ต่างๆ นั้นก็ยังคงมีพื้นฐานมาจากความรู้ทางการแพทย์ในขณะนั้นที่มองสภาวะเหล่านี้เป็นอาการป่วย จึงทำให้ความแปลกแยกของความหลากหลายนั้นยังคงมีอยู่ และส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน

       ในด้านสังคมนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวก็ได้มีการนำเสนอตัวตนของกะเทยและความหลากหลายต่างๆ อยู่เรื่อยๆ ซึ่งส่วนมากจะเป็นไปในทางที่เสียหาย เช่น กรณีของนายถั่วดำ ที่มีการค้าประเวณีเด็กชาย หรืออาชญากรรมที่มีผู้ก่อเหตุเป็นกะเทย อีกทั้งยังมีบทความต่างๆ ที่มุ่งโจมตีกะเทยและความหลากหลายทางเพศในขณะนั้น โดยเฉพาะการยึดโยงกะเทยกับโรคทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ จนสร้างภาพจำถึงกะเทยและความหลากหลายทางเพศไปในทางลบ ทั้งนี้สื่อบางส่วนเองก็ไม่ได้นำเสนอในทางเสียหายเสียทีเดียว แต่เน้นนำเสนอกะเทยว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดเสียมากกว่า อย่างเช่น การประกวดนางสาวสยามประเภทสอง และการนำเสนอเกี่ยวกับกะเทยที่สวยทัดเทียมกับผู้หญิง

       ในปัจจุบัน องค์กรภาคประชาสังคมนั้นได้เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนแนวคิดนี้ ซึ่งแนวคิดในเรื่องเพศเองนั้นก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ภาคประชาสังคมพยายามช่วงชิงและรื้อสร้างองค์ความรู้เดิม ผ่านการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ถึงแนวทางที่ควรจะเป็น ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน แต่ก็ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อองค์ความรู้เดิมที่สังคมเชื่อถือมาตลอด ดังที่เราจะเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้น โดยเฉพาะในทางสังคมและในทางการเมือง อย่างการขับเคลื่อนกฏหมายที่ยืนยันในสิทธิ์ต่างๆ ของกลุ่มคนเพศหลากหลาย หรือการที่ความสัมพันธ์แบบรักเพศเดียวกันถูกมองด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นจากสังคม รวมทั้งได้มีความพยายามที่จะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการจำแนกความหลากหลายต่างๆ บนพื้นฐานความรู้ในปัจจุบัน ทั้งการเกิดขึ้นของคำว่า LGBT ที่ได้มีอัตลักษณ์อื่นๆเติมเข้ามาเรื่อยๆ การรณรงค์เกี่ยวกับเพศสภาพและเพศวิถี ไปจนกระทั่งการท้าทายระบบสองเพศที่เป็นรากฐานสำคัญของมนุษย์ 

       ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ตัวตนของกะเทยและความหลากหลายทางเพศต่างๆ ได้ปรากฏและเป็นที่รับรู้มาตลอด เพียงแต่ถูกกดทับเอาไว้ด้วยค่านิยมทางสังคมต่างๆ ซึ่งสังคมไทยนั้นนับว่าเป็นหนึ่งในสังคมที่ให้พื้นที่และมีความอดทนต่อความหลากหลายมาโดยตลอด อาจมีการเปลี่ยนผันไปบ้างตามอิทธิพลจากภายนอก แต่ความหลากหลายนั้นก็สามารถผ่านพ้นช่วงเวลามาได้และทวงคืนพื้นที่ของตนเองมาเสมอ


อ้างอิง

เทิดศักดิ์ ร่มจำปา. (2546). จาก “กะเทย” ถึง “เกย์” ประวัติศาสตร์ชายรักร่วมเพศในสังคมไทย. วารสารอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 32 (1), 303-332, สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2567, จาก https://cuir.car.chula.ac.th/handle/123456789/14013

วัชรวุฒิ ซื่อสัตย์1&ดร.พัชรินทร์ สิรสุนทร2./(n.d.)./วาทกรรมทางการแพทย์เกี่ยวกับกะเทยในสังคมไทย medical Discourse Kathoey in Thai Society/[เอกสารในที่ประชุม]./การจัดประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแห่งชาติ ครั้งที่ 34,/อาคารเรียนรวม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, สืบค้นเมื่อ 25 กันยายน 2567, จาก https://gsbooks.gs.kku.ac.th/58/the34th/pdf/HDO2.pdf 

Sumalee Mahanarongchai1&Thanasith Chatsuwan2. (2567). “กะเทย” ในคัมภีร์พุทธศาสนา. Journal of Arts and Thai Studies, ฉบับที่ 46. Doi: 10.69598/artssu.2024.2786.

สมานฉันท์ ปฐมวงส์, Silpawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม. (24 พฤศจิกายน 2022). “กะเทย” ในเอกสารโบราณแต่เดิมหมายถึงคนกลุ่มใด? . ก่อนจะมี เกย์ เก้ง ตุ๊ด ฯลฯ คำว่า "กะเทย" คือ. Facebook. https://www.facebook.com/SilpaWattanatham/posts/pfbid02VNTYNtvkn74yRHz3iFJcSdfRM17UZH7LZkygy7z2QtqvvPPRvaa5pZp1Lq1eGZ1Al



ผู้เขียน: นรเศรษฐ์ พัฒนางกูร