Myth : ทำไมคนถึงเชื่อว่า... คนข้ามเพศถูกบังคับให้ตรงเพศได้
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอุปสรรคที่คนข้ามเพศต้องเผชิญนั้นมีมากมายอันเนื่องจากความเข้าใจผิดและอคติของสังคม
ซึ่งหนึ่งในสิ่งที่คนข้ามเพศต้องเผชิญอย่างน้อยสักครั้งคือการถูกบังคับให้แสดงออกตามเพศกำเนิดของตน
อาทิ การบังคับตัดผม การใช้คำพูด การแต่งตัว
เนื่องจากการสังคมที่ยึดถือในระบบสองเพศนั้นคิดว่าการแสดงออกควรต้องเป็นไปตามเพศกำเนิด
นำมาซึ่งความเชื่อผิด ๆ ว่า
สามารถบีบบังคับให้คนข้ามเพศต้องละทิ้งอัตลักษณ์ของตนและกลับมาแสดงออกตามเพศกำเนิดได้
ความเชื่อนี้คืออะไร
คือการที่สังคมเชื่อว่า
หากทำการบังคับหรือกดดันให้คนข้ามเพศละทิ้งอัตลักษณ์ของตนแล้วปฏิบัติตนตามอัตลักษณ์ที่สังคมเห็นว่าสอดคล้องกับเพศกำเนิด
คนข้ามเพศนั้นสามารถกลับมามีสำนึกในตัวตนที่ตรงกับเพศกำเนิดได้
ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเชื่อว่าคนข้ามเพศเป็นสิ่งแปลกปลอม
จำเป็นต้องมีการกระทำบางอย่างให้กลับมาเป็นปกติ การพยายามบีบบังคับเหล่านี้มีชื่อเรียกว่า
Conversion
Therapy ที่เป็นโปรแกรมบำบัดคนที่ต้องสงสัยว่าจะมีสำนึกทางเพศที่แตกต่าง
ส่วนมากจะได้รับความนิยมในชุมชนผู้เคร่งศาสนา
กระบวนการดังกล่าวจะใช้วิธีการที่รุนแรงทั้งทางกายและทางใจ เช่น การจัดให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมพร้อมกับพยายามปลูกฝังความเชื่อผิด ๆ ,
การใช้วาจาประทุษร้ายซ้ำ ๆ กระทั่งการบังคับแต่งงาน
เพื่อให้เป้าหมายรู้สึกผิดต่อตนเองและคิดว่าการข้ามเพศนั้นเป็นความผิดปกติ
Matthew
Scott Montgomery นักแสดงชื่อดังที่เคยฝากผลงานเอาไว้ในซีรีย์ดังหลายเรื่องเคยเปิดเผยต่อแฟน ๆ
ผู้ติดตามของเขาในช่วงปีที่ผ่านมาผ่านรายการ podcast “Vulnerable” ถึงชีวิตวัยเด็กที่เขาต้องประสบเมื่อบอกกับครอบครัวว่าเป็นเกย์ “พวกเขาโมโหจนไม่ยอมพูดจาอะไร
แม่ถึงกับเข่าทรุดเลย” จากนั้นพ่อของแมทธิวก็เชิญชวนกึ่งบังคับให้เข้าร่วมกิจกรรมบำบัดกับสถานที่แห่งหนึ่ง
ที่นั่นแมทธิวต้องผ่านกระบวนการที่ลดทอนความเป็นมนุษย์มากมาย เช่น
การสะกดจิตด้วยการกล่อมเกลาว่าสิ่งที่ตนเป็นนั้นทำให้คนรอบข้างเสียใจ
การรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้า “พวกเขาให้ผมนึกถึงสถานการณ์บางอย่าง เช่น
การได้กอดกับผู้ชายหล่อ ๆ จากนั้นพวกเขาก็จะปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้ามาในมือผม” ซึ่งแมทธิวจะถูกบังคับให้เข้าร่วมการบำบัดดังกล่าวในทุกวันหยุดเมื่อเขาว่างเว้นจากการเรียนและงานแสดง
แม้ว่าตัวแมทธิวจะเป็นอิสระจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายนั้นแล้ว
แต่เขาก็ยังคงมีแผลใจที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน
แต่บ่อยครั้งการบังคับก็เกิดจากสังคมด้วยเช่นกัน
โดยมักจะเป็นในลักษณะของการตั้งเงื่อนไขเพื่อเป็นการบังคับทางอ้อมโดยอ้างถึงความเหมาะสมในการประพฤติตัว
เช่น การทำงานที่มักจะตั้งเงื่อนไขว่าจำเป็นต้องแต่งกายและแสดงออกตามเพศกำเนิด
โดยเฉพาะในงานที่คนเชื่อว่าจะต้องใช้บุคลิคที่น่าเชื่อถือ ต้องเป็นที่เคารพ หรือหน่วยงานราชการที่มีการกำหนดภายในองค์กรชัดเจนเกี่ยวกับเครื่องแบบที่มีการแบ่งตามเพศกำเนิด
หนึ่งในกรณีที่เคยมีการร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศนั้น
คือกรณีที่ผู้หญิงข้ามเพศซึ่งทำงานมา 6 ปีในตำแหน่งครูถูกข่มขู่เพื่อให้แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบข้าราชการชาย
จนผู้ร้องทุกข์มีอาการเซื่องซึมและหวาดระแวงจากการคุกคามนั้น แม้ในภายหลังจะมีการแก้ไขและเยียวยาผู้เสียหายแล้ว
แต่นี่ก็เป็นเพียงหนึ่งในหลายกรณีที่มีการใช้เรื่องของความมั่นคงและหน้าที่การงานในการบังคับคนข้ามเพศ
แต่จริง ๆ แล้วเพศก็เปลี่ยนได้
หนึ่งในเรื่องสำคัญเกี่ยวกับเพศที่ควรได้รับการพิจารณาเมื่อพูดถึงประเด็นนี้
คือ เพศนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ตายตัว
คนคนหนึ่งอาจค้นพบว่าตนเองมีเพศสภาพเป็นหญิงในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
แต่หลังจากนั้นอาจจะค้นพบอีกครั้งว่าตนเองนั้นเป็นคนที่ไม่อยู่ในกล่องสองเพศหรือ non-binary
สิ่งเหล่านี้มีนิยามว่า Genderfluid หรือความลื่นไหลทางเพศ
ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายๆ แง่มุม ไม่จำกัดเพียงความรู้สึกถึงตัวตนเท่านั้น
เช่น การมีความรู้สึกดึงดูดต่อเพศต่าง ๆ ที่จริง ๆ แล้วไม่จำกัดตายตัวอยู่กับเพศสภาพ
หรือการแสดงออกทางเพศที่เป็นสิทธิส่วนบุคคล ทั้งหมดนี้เป็นความปกติที่ร่างกายนั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่าง ๆ ได้
สิ่งสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในเพศนั้น
คือการที่คนคนนั้นต้องมีความรู้สึกหรือสัมผัสได้ถึงความต้องการนั้นด้วยตนเอง
ทั้งจากจากการสำรวจตนเอง การรับรู้จากปัจจัยที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต
โดยไม่เป็นการบังคับขู่เข็ญด้วยอคติที่มีต่อเพศที่แตกต่างหรือการพยายามปรับเปลี่ยนตัวตนของใคร
เพราะการเลือกที่จะเชื่อและแสดงออกในตัวตนของตนเองนั้นเป็นหนึ่งในสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ที่จะพรากไปไม่ได้
ตามหลักการ Self – Determination ดังนั้น
ความพยายามใด ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวตนโดยการบังคับ
ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตามจึงถือเป็นความรุนแรงทั้งสิ้น แน่นอนว่าในบางครั้งนั้นอาจจะสามารถทำให้เป้าหมายเปลี่ยนแปลงตนเองได้จริง
แต่นั่นคือการเปลี่ยนแปลงบนพื้นฐานจากความหวาดกลัวและการปกป้องตนเองเพียงเท่านั้น และยังคงทิ้งบาดแผลให้แก่ผู้ที่ถูกบังคับเอาไว้ด้วย
จะดีกว่าไหมหากเราเปลี่ยนจากการบีบบังคับให้คน ๆ หนึ่งต้องเป็นในสิ่งอื่น ๆ
ที่สร้างความอึดอัดใจ เป็นการศึกษาทำความเข้าใจถึงสิ่งที่คน ๆ หนึ่งเป็น
และพร้อมโอบรับความหลากหลายให้เป็นส่วนหนึ่งของสังคมอย่างแท้จริง
อ้างอิง
ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน. (28 เมษายน 2565).
I
went through ‘conversion therapy’ – no trans person should face that torture
again. The Guardian. https://www.theguardian.com/commentisfree/2022/apr/28/conversion-therapy-trans-person-torture-uk-government
สิริลักษณ์ สุขสวัสดิ์1,
จิรายุ โพธิ์ไหม2. (28 มิถุนายน 2564). LGBTQ+ หางานยาก? คุยกับ โกโก้ กวินตรา Trans Woman ผู้สมัครงาน 200
ที่แต่ไม่มีใครเรียก. Urban Creature. https://urbancreature.co/kavindhra-tiamsai-work-for-lgbtq/
กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว. (2564).
คำวินิจฉัยโดยย่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ
พ.ศ. 2559 – 2562 (พิมพ์ครั้งที่ 1).
สํานักพิมพ์บริษัท พีระมิตร ครีเอชั่น จำกัด.
Sabra L. Katz-Wise. (3 December
2020). Gender fluidity: What it means and why support
matters. Harvard Health Publishing. https://www.health.harvard.edu/blog/gender-fluidity-what-it-means-and-why-support-matters-2020120321544
JP Mangalindan. (19 September 2023). Disney Star
Matthew Scott Montgomery Details His Harrowing Experience with Electroshock and
Conversion Therapy. People.com. https://people.com/matthew-scott-montgomery-details-experience-conversion-and-electroshock-therapy-7972009
ผู้เขียน: นรเศรษฐ์ พัฒนางกูร