Transgender : จากอดีตสู่ปัจจุบัน
เมื่อใดก็ตามที่คนข้ามเพศกลายมาเป็นหัวข้อหลักในวงสนทนา ส่วนมากก็มักจะเป็นเรื่องที่มีช่วงเวลาอยู่ในปัจจุบันทั้งสิ้น ด้วยองค์ความรู้ของสังคมที่มักจะมีจุดสนใจอยู่ในเหตุการณ์และความเป็นไปในขณะนี้ แต่หากพูดถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาร่วมด้วยแล้ว กลับเป็นอะไรที่ดูลึกลับน่าพิศวงเสียมาก ทั้งจากความเข้าใจเดิมของสังคมและกระบวนการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับคนข้ามเพศ แต่ก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเรียนรู้เรื่องราวในอดีตอันไกลโพ้นของคนข้ามเพศนั้นทำให้เราเข้าใจสภาพความเป็นไปในทุกวันนี้ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นบทความนี้จึงขอเชิญชวนให้ผู้อ่านร่วมค้นหาเกี่ยวกับความเป็นมาในอดีตที่นำมาสู่สถานการณ์ปัจจุบันของคนข้ามเพศ
แล้วเรื่องราวของคนข้ามเพศมีมาตั้งแต่ตอนไหน?
คำว่า “ประวัติศาสตร์” ในที่นี้ เมื่ออยู่คู่กับคำว่า “ข้ามเพศ” แล้วก็มักจะให้ความรู้สึกขัดแย้งกันอยู่เล็กน้อย เนื่องจากในทัศนะของคนส่วนมากแล้ว การข้ามเพศหรือการมีตัวตนของคนข้ามเพศนั้นเป็นเรื่องเกิดขึ้นใหม่ เป็นกระแสขบถที่พึ่งปรากฎได้ไม่นาน แต่แท้จริงแล้วการข้ามเพศนั้นสามารถสืบย้อนกลับไปได้ไกลถึงยุคเริ่มต้นของประวัติศาสตร์เลยทีเดียว ในอาณาจักร Assyrian มีนักบวชเพศชายที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าผู้หญิง ประพฤติตนดังเช่นผู้หญิง และมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่นในฐานะผู้หญิง พวกเขาหรือเธอเหล่านี้คือนักบวชของเทพ Ishtar หรือในฝั่งเอเชียกลาง Hijrah ก็เป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจในทางความเชื่ออย่างมากด้วยอำนาจที่สามารถให้พรหรือสาปแช่งใครก็ได้
การนิยามเกี่ยวกับเพศในยุคโบราณนั้นไม่ได้มีการแบ่งหมวดหมู่อย่างละเอียดเหมือนปัจจุบัน การข้ามเพศนั้นมักจะถูกมองเป็นกลุ่มก้อนเดียวกับการรักเพศเดียวกันหรือรูปแบบความหลากหลายอื่น ๆ เช่น การแต่งกายข้ามเพศ การทรงเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีลักษณะทางเพศไม่ตรงกับผู้ทำพิธี หรือการมีอวัยวะเพศที่ไม่แน่ชัด และมักจะถูกมองร่วมกับความศักดิ์สิทธิ์, อำนาจเหนือธรรมชาติ หรือพิธีกรรมทางศาสนา ดังตัวอย่างข้างต้นที่ได้กล่าวไปบ้าง และที่สำคัญคือ แนวคิดพื้นฐานในการจำแนกเพศของแต่ละสังคมหรืออารยธรรมนั้นจะต่างกันไปตามแต่พื้นฐานทางสังคมของที่นั้น ๆ เช่น ในความเชื่อล้านนา ตำนานการสร้างโลกนั้นได้กล่าวว่ามนุษย์มี 3 เพศ คือ ชาย หญิง และนปุงสกะ ซึ่งเป็นมนุษย์ที่ไม่มีเพศหรือเพศไม่แน่ชัด หรือชนเผ่า Ojibwe ในทวีปอเมริกาที่ผูกเรื่องเพศเข้ากับมิติทางจิตวิญญาณจนเกิดเป็นคำที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินอย่าง “Two-Spirit” หรือคนที่มีวิญญาณของทั้งชายและหญิง
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้แนวคิดกระแสหลักเรื่องเพศเปลี่ยนแปลงไปคือการขึ้นมามีอิทธิพลของกลุ่มศาสนาอับราฮัมร่วมกับการล่าอาณานิคมที่วางรากฐานความเชื่อที่เชิดชูระบบสองเพศและเน้นความสำคัญของบทบาททางเพศที่ยึดโยงกับเพศกำเนิด
แนวคิดนี้ได้ฝังรากลึกลงไปในสังคมและกลายเป็นมาตรฐานตัดสินคุณค่าของประเทศเจ้าอาณานิคม
กระทั่งการแผ่ขยายอำนาจของตะวันตกยุคอาณานิคมในช่วงศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แนวคิดต่าง ๆ ที่ถูกมองว่า “ก้าวหน้า”
และ “ถูกต้อง” โดยตะวันตกยุคอาณานิคมในขณะนั้นได้แผ่ขยายไปทั่วโลกผ่านการล่าอาณานิคม
ซึ่งแน่นอนว่าแนวคิดเรื่องเพศแบบตะวันตกยุคอาณานิคมก็ได้เข้าไปแทนที่แนวคิดเดิมในสังคมที่ตกเป็นเหยื่อ
หรือไม่ก็ส่งผลกระทบต่อแนวคิดเรื่องเพศที่แตกต่างออกไปในหลาย ๆ
สังคมที่ต้องเผชิญกับปัญหานี้ อย่างหลาย ๆ
สังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เคยมองว่าเพศที่แตกต่างออกไปนั้นจะอยู่ในสถานะศักดิ์สิทธิ์
ก็ถูกอิทธิพลนี้บังคับให้เปลี่ยนแนวคิดดังกล่าว ในประเทศไทย
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเกิดขึ้นในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างรัชกาลที่ 4 - 6
โดยที่เห็นชัดที่สุดคือการตรากฎหมาย Sodomy Law ครั้งแรกในประเทศไทยซึ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเกิดขึ้นเพื่อสร้างภาพลักษณ์ความเป็นอารยะให้แก่ชาติ
และการยกความสำคัญของระบบสองเพศโดยการกำหนดบทบาทที่ชัดเจนผ่านนโยบายและกฎหมายต่าง ๆ
ทั้งหมดนี้แม้ว่าจะเป็นการตัดสินใจของรัฐเอง
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นผลพวงมาจากความพยายามของตะวันตกยุคอาณานิคมที่จะทำให้ระบบสองเพศกลายเป็นความจริงสากล
การสร้างความรู้และการต่อสู้
และแน่นอนว่าการข้ามเพศที่เคยถูกมองเป็นเพียงสถานะหนึ่งทางสังคมร่วมกับความหลากหลายอื่น ๆ ก็ถูกเหมารวมไปด้วยว่าเป็นความ “ผิดปกติ” เนื่องจากการเชิดชูบทบาททางเพศแบบตะวันตกยุคล่าอาณานิคมที่พยายามสร้างความ “ปกติ” ให้แก่การประพฤติตนตามเพศกำเนิด กระทั่งศตวรรษที่ 20 ที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ได้เข้ามาศึกษาทำความเข้าใจอย่างจริงจัง ช่วงนี้เองที่เริ่มมีการจำแนกแจกแจงความหลากหลายทางเพศที่ยังคลุมเครือให้เป็นหมวดหมู่ การข้ามเพศจึงได้รับการรับรู้ถึงการมีอยู่อย่างเป็นทางการครั้งแรกในช่วงนี้
แต่เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่การศึกษาดังกล่าวก็ยังคงยืนพื้นอยู่บนระบบสองเพศ การสร้างองค์ความรู้ต่าง ๆ จึงมาจากฐานคิดที่มองการข้ามเพศเป็นเรื่องผิดปกติและสร้างความเป็นอื่นให้แก่คนข้ามเพศมากกว่าเดิม จะเห็นได้จากการศึกษาในประเด็นเพศวิถีนั้นมักจะถูกมองข้ามหรือลดความสำคัญลงและจับมัดรวมไปในการศึกษาด้านอื่น ๆ หรือไม่เช่นนั้น หากประเด็นนี้ถูกยกให้เป็นหัวข้อหลักของการศึกษาจริง ๆ ก็จะถูกแบ่งแยกออกไปเป็นพื้นที่การศึกษาอื่นที่ไม่ใช่พื้นที่เดียวกับกระบวนการศึกษาที่มีอยู่แล้ว อีกทั้งจุดศูนย์กลางของการศึกษาและสร้างความรู้นั้นก็มักจะมาจากโลกทัศน์แบบสองเพศ
อีกหนึ่งประการที่อดกล่าวถึงไม่ได้ คือการเริ่มศึกษาภาวะข้ามเพศอย่างจริงจังในช่วง 1960s ถึงจะนับว่าเป็นคุณูปการต่อชุมชนคนข้ามเพศก็จริง แต่การเกิดขึ้นขององค์ความรู้ที่มากมายในช่วงนี้ก็ทำให้คำอย่าง “การข้ามเพศ” หรือ “คนข้ามเพศ” มีภาพจำว่าเป็นของใหม่ เป็นกระแสขบถต่อมาตรฐานสังคมที่ถูกหล่อหลอมด้วยระบบสองเพศและแนวคิดบทบาททางเพศที่ยึดถือกันมาอย่างเนิ่นนาน และบดบังความจริงเกี่ยวกับภาวะข้ามเพศที่มีอยู่จริงและสอดแทรกเป็นส่วนหนึ่งในมิติความหลากหลายทางเพศและสังคมมนุษย์ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ในศตวรรษที่ 20 เองนั้น นอกจากการสร้างความรู้เกี่ยวกับการข้ามเพศและความหลากหลายตามจารีตสังคมแล้ว ในอีกฟากหนึ่งของสังคมเองก็มีการพยายามต่อสู้เพื่อช่วงชิงพื้นที่ทางความคิดและสังคมอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะการต่อสู้ของขบวนการสตรีนิยมและการเกิดขึ้นของทฤษฎีเควียร์ โดยหมุดหมายที่สำคัญคือการมาของแนวคิดสตรีนิยมระรอกที่ 3 ที่มีแนวคิดในเรื่องเพศคาบเกี่ยวและสนับสนุนทฤษฎีเควียร์ กล่าวคือ ทั้งสองแนวคิดเชื่อเหมือนกันว่า นิยามของเพศนั้นไม่มีการอธิบายหรือหลักการใด ๆ ที่เป็นสากลและแน่นอนมารองรับ การมีอยู่ของระบบสองเพศจึงเป็นสิ่งที่สังคมหนึ่งสร้างและกำหนดขึ้นมา ดังนั้นทั้งสองแนวคิดนี้จึงเป็นการตั้งคำถามและท้าทายโดยตรงแก่ความเชื่อและขนบปฏิบัติเกี่ยวกับเพศที่เป็นอยู่ในสังคม
เมื่อกลับมามองถึงสถานการณ์ปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่าชุมชนคนข้ามเพศนั้นมีความพยายามที่จะสร้างตัวตนและคุณค่าเพื่อให้สังคมยอมรับ
ไม่ว่าจะเป็นการสอดแทรกตนเองเข้าไปในพื้นที่สื่อ, การใช้หรือสร้างองค์ความรู้ทางวิชาการ
หรือกระทั่งการยอมโอนอ่อนผ่อนปรนให้แก่กฎระเบียบบางอย่างของสังคม
ซึ่งแน่นอนว่าการเคลื่อนไหวเหล่านั้นสามารถสร้างพื้นที่เล็ก ๆ
ให้แก่คนข้ามเพศได้ยืนในสังคม
ทว่าการสร้างคุณค่าเหล่านั้นกลับเป็นการนำองค์ความรู้ที่ถูกสร้างบนพื้นฐานของแนวคิดระบบสองเพศและบทบาททางเพศแบบตะวันตกยุคอาณานิคม
ซึ่งถือเป็นความย้อนแย้งที่น่าสลด
พื้นที่ในชีวิตที่ยังคับแคบ
แม้ในปัจจุบันสังคมจะได้รับรู้ในคนข้ามเพศมากขึ้น แต่การใช้ชีวิตของคนข้ามเพศก็ยังนับว่าไม่เท่าเทียมกับคนที่ปฏิบัติตนตามจารีตระบบสองเพศอยู่ดี โดยเฉพาะในทางกฎหมาย บางประเทศคนข้ามเพศได้รับการยอมรับและคุ้มครองตามกฎหมาย รวมถึงสิทธิตามหลัก Self-Determination แต่สิทธิเหล่านี้มักจะพบเห็นได้ในประเทศที่มีพื้นฐานของการเคารพและเชื่อในสิทธิส่วนบุคคลและการพัฒนาด้านแนวคิดเรื่องความหลากหลายเท่านั้น ในขณะที่คนข้ามเพศในพื้นที่อื่น ๆ ยังต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติทางกฎหมายอย่างรุนแรง อย่างการเข้าถึงบริการทางสุขภาพที่จำเป็นและเป็นที่ถกเถียงทางสังคมอยู่บ่อยครั้ง หรือกระทั่งถูกลบเลือนตัวตนทางกฎหมาย
และอีกสิ่งที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนคือ แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป แต่คนข้ามเพศในปัจจุบันยังคงถูกผลักไสไล่ส่งจากสังคมที่ยึดถือในบทบาททางเพศอยู่เสมอ หรืออย่างน้อยที่สุด คนข้ามเพศก็จะถูกมองอย่างแปลกแยกและเป็นอื่นจากสังคม ด้วยการที่คนข้ามเพศมักจะมีภาพจำที่ “ผิดปกติ” และ “ประหลาด” และนั่นนำมาสู่ปัญหาในการใช้ชีวิต การสมัครงาน การถูกล้อเลียนหรือดูถูก ซึ่งนี่เป็นผลจากกระบวนการ “ตีตรา” ทางสังคม Erving Goffman นักสังคมวิทยาที่ได้ศึกษากระบวนการตีตราทางสังคมเคยอธิบายเอาไว้ว่า กระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นจากการที่สังคมหรือกลุ่มที่ถืออำนาจส่วนใหญ่กำหนดว่าอะไรจะเป็นความปกติ และอะไรจะไม่ใช่ความปกติ จากนั้นความไม่ปกติเหล่านั้นจะถูกมองว่าไม่เหมาะสมและทำให้บุคคลหรือสิ่งใดที่มีความไม่ปกติเกิดความรู้สึกเป็นอื่นจากชนหมู่มาก บ่อยครั้งมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับการลดสถานะหรือคุณค่าของบุคคลหรือสิ่งนั้นด้วย ดังนั้น ในสังคมที่เชิดชูยึดถือในระบบสองเพศและบทบาททางเพศที่เข้มข้น การข้ามเพศ รวมถึงความหลากหลายทางเพศอื่น ๆ จึงกลายเป็นสิ่งที่ถูกตีตราอย่างเลี่ยงไม่ได้
สิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้คือ
สังคมเริ่มมีความเข้าใจต่อคนข้ามเพศมากขึ้น แม้จะไม่ทันที
แต่ก็นับว่าเป็นพัฒนาการที่สำคัญ ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่า
สังคมโลกยังคงขับเคลื่อนด้วยแนวคิดระบบสองเพศและการยึดติดกับบทบาทตามเพศกำเนิดอย่างเข้มข้น
ดังนั้น สิ่งที่อยากให้ผู้อ่านชวนคิดตามคือ การตั้งคำถามต่อ “ระบบสองเพศ” ที่เป็นสิ่งชี้นำสังคมในทุกวันนี้
และทบทวนถึงสิ่งที่คนข้ามเพศ รวมถึงเพศหลากหลายอื่น ๆ ต้องเผชิญ
อ้างอิง
Rictor Norton, A History of Homophobia, "1 The Ancient Hebrews" 15 April 2002, updated 28 Febriaru 2012 <http://rictornorton.co.uk/homopho1.htm>.
Gabby Omoni Hartemann. (31 March 2021). Stop Erasing Transgender Stories From History. Sapiens. https://www.sapiens.org/archaeology/transgender-people-exist-in-history/
บุษยรังสี หาสุทธิใจ. (2566). เพศสภาพไม่ใช่ข้ออ้างในการลิดลอนสิทธิ Gender is not an excuse for deprivation of rights. วารสารวิชาการไทยวิจัยและการจัดการ, 4 (2), 15. สืบค้นจาก https://so05.tci-thaijo.org/index.php/TRDMJOPOlSU/article/view/268179/179798
ชิเนนนท์ พวงพันธ์. (2566).นโยบายพรรคการเมืองต่อกลุ่มเพศหลากหลาย. วารสารสหศาสตร์การพัฒนาสังคม, 1 (5), 39-53. https://doi.nrct.go.th//ListDoi/listDetail?Resolve_DOI=10.14456/jisdiadp.2023.15
นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ. (3 ต.ค. 2559). พื้นที่ทางวัฒนธรรมของ “คนข้ามเพศ” และ “คนรักเพศเดียวกัน” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. ฐานข้อมูลสังคม - วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. https://southeastasia.sac.or.th/article-detail.php?rid=10
นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ. (24 มิ.ย. 2015). วิพากษ์ “ความเป็นหญิง” ของหญิงในร่างชาย. คำศัพท์ทางมานุษยวิทยา. https://anthropology-concepts.sac.or.th/articles/9
ณัฐวิโรจน์ มหายศ เพ็ญศรี ฉิรินัง. (2023). การตีตราและเลือกปฏิบัติต่อแรงงานที่มีความหลากหลายทางเพศ STIGMA AND DISCRAMINATION AGAINT LGBTIQN+ WORKERS. วารสารมหาจุฬานาครทรรศน์, 10 (7), 168-177. https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JMND/article/view/270738/179301
นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ. (15 มิ.ย.
2015). เควียร์กับการวิพากษ์มานุษยวิทยากระแสหลัก.
คำศัพท์ทางมานุษยวิทยา. https://anthropology-concepts.sac.or.th/articles/1
ผู้เขียน: นรเศรษฐ์ พัฒนางกูร